- เครื่องเป่า
- ขลุ่ยเพียงออ เป็นขลุ่ยหลักที่เกิดขึ้นก่อนขลุ่ยชนิดอื่นและใช้มาแต่สมัยโบราณ มีความยาวประมาณ 45 ซ.ม. กว้าง 2.5 ซ.ม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของไม้ไผ่ ใช้ผสมในวงเครื่องสาย วงมโหรีและวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
- ขลุ่ยหลีบหรือขลุ่ยหลีก เป็นขลุ่ยขนาดเล็กที่สุด เกิดขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีความยาว ประมาณ 25 ซ.ม. กว้างประมาณ 2 ซ.ม. มีเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียง เป็นขลุ่ยชนิดเดียวที่เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องนำ ใช้ผสมในวงเครื่องสายเครื่องคู่ และวงมโหรีเครื่องใหญ่
- ขลุ่ยอู้ เป็นขลุ่ยที่มีขนาดใหญ่เกิดขึ้นสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีความยาวประมาณ 60 ซ.ม. กว้าง 4 ซ.ม. เสียงต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียง ใช้ผสมในวงมโหรีเครื่องใหญ่และปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
- ขลุ่ยรองออ เป็นขลุ่ยที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าขลุ่ยเพียงออเล็กน้อย เสียงต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 1 เสียง ปัจจุบันขลุ่ยเคียงออไม่มีผู้ใช้แล้ว จึงหาซื้อไม่ได้ในท้องตลาดทั่วไป
- ขลุ่ยเคียงออ หรือ เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กกว่าขลุ่ยเพียงออเล็กน้อย ยาวประมาณ 40 ซ.ม. กว้าง 2.2 ซ.ม. มีระดับเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 1 เสียง
- ขลุ่ยกรวด เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กกว่าขลุ่ยเพียงออเล็กน้อย ยาวประมาณ 40 ซ.ม. กว้าง 2.2 ซ.ม. มีระดับเท่ากับเสียงสากล
- ขลุ่ยออร์แกน เกิดจากการนำเครื่องดนตรีสากล คือ เปียโน ออร์แกน มาผสมวงกับเครื่องดนตรีไทย ซึ่งต้องปรับเสียงเครี่องดนตรีไทยให้สูงขึ้นเกือบ 1 เสียง ฉะนั้นจึงต้องผลิตขลุ่ยให้มีระดับเสียงดังกล่าวดัวย และเนื่องจากนิยมผสมด้วยออร์แกนมากกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ จึงเรียกติดปากตามเครื่องดนตรีที่มาผสมว่า “ขลุ่ยออร์แกน”
- ขลุ่ยพล เป็นขลุ่ยที่ไม่สามารถจัดเป็นขลุ่ยชนิดใดได้ มีราคาถูกใช้เป่าเล่นได้แต่ระดับเสียงไม่แน่นอนใช้ผสมวงไม่ได้
- ขลุ่ยนก เป็นชุดของขลุ่ยที่ผลิตเพื่อเลียนเสียงนก ในการบรรเลงเพลง “ตับนก” และเพลง “ตับภุมรินทร์” มี 4 ชนิดคือ
- • ขลุ่ยนกกางเขน ใช้เลียนเสียงนกกางเขน ไม่มีรูระบายระดับเสียงยาวประมาณ 10 ซ.ม. กว้าง 3 ซ.ม. มีไม้ซางเสียบทะลุด้านข้างกระบอกเสียง เวลาเป่าต้องใส่น้ำลงในกระบอกให้ปลายหลอดส่วนล่างอยู่ในน้ำจึงจะเกิดเสียง
- ขลุ่ยนกโพระดกหรือขลุ่ย โฮกโป๊ก ใช้เลียนเสียงนกโพระดก ไม่มีรูระบายระดับเสียง เป็นกระบอกไม้ยาว 18 ซ.ม. กว้าง 5 ซ.ม. เวลาเป่าใช้ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งอุดปลายส่วนล่าง ห่อมือเล็กน้อยเป่าได้เสียง “โฮก” ในขณะเป่าต่อเนื่องกันนั้น ถ้าเปิดฝ่ามือที่อุดด้านล่างอย่างรวดเร็ว จะได้เสียง “โป๊ก
- •ขลุ่ยนกกาเหว่า ใช้เลียนเสียงนกกาเหว่า มีลักษณะเหมือนขลุ่ยเพียงออทุกประการ แต่ตัดท่อนล่างทิ้งให้เหลือรูระบายระดับเสียงไว้ 3 - 4 รู เวลาเป่าปิดรูทั้งหมดรวมทั้งรูนิ้วค้ำด้วยจะได้เสียง “กา” จากนั้นเปิดรูทั้ง 5 พร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะได้เสียง “เหว่า”
- •ขลุ่ยไก่ เป็นขลุ่ยที่ใช้เลียนเสียงไก่ ไม่มีรูระบายระดับเสียงยาวประมาณ 13 ซ.ม. กว้าง 3 ซ.ม. มีกำพวดปี่เสียบทะลุด้านข้างกระบอกเสียง ความเป็นจริงควรเรียกว่า ปี่ไก่ แต่เนื่องจากอยู่ในชุดของขลุ่ยนกจึงเรียกว่า "ขลุ่ยไก่"
- •ปี่ เป็นเครื่องดนตรีไทยทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู แต่สามารถเป่าได้เสียงตรง 24 เสียง กับเสียงควงหรือเสียงแทนอีก 8 เสียง รวมเป็น 32 เสียง รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน นากหรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความแน่นกระชับยิ่งขึ้น
- ปี่นอก มีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 31 ซม. กว้าง 3.5 ซม. เป็นปี่ที่ใช้กันมาแต่เดิม เสียงของปี่นอกจะมีเสียงที่เล็กแหลม
- ปี่กลาง มีขนาดกลาง ยาวประมาณ 37 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. สำหรับเล่นประกอบการแสดงหนังใหญ่ มีสำเนียงเสียงอยู่ระหว่าง ปี่นอก กับปี่ใน เสียงของปี่กลางจะ ไม่แหลมหรือว่าต่ำเกินไปแต่จะอยู่ในระดับปานกลาง
- ปี่ใน ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 41-42 ซม. กว้างประมาณ 4.5 ซม.เป็นปี่ที่พระอภัยมณีใช้สำหรับเป่าให้นางผีเสื้อสมุทร (ในวรรณกรรมของสุนทรภู่) ขาดใจตายนั่นเอง โดยเสียงของปีในจะเป็นเสียงที่ต่ำ และเสียงใหญ่
ข้อมูลจาก http://www.bs.ac.th/musicthai/page4.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น